วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

การโจมตีว่าร้ายกัน เป็นการปกป้องพุทธศาสนาได้จริงหรือไม่



 การโจมตีว่าร้ายกัน เป็นการปกป้องพุทธศาสนาได้จริงหรือไม่


ถาม ในทางพระพุทธศาสนา คือ  ตามหลักพระธรรมวินัย แม้ว่าท่านจะถูกกล่าวหาว่าทำผิดแต่ว่าท่านไม่ได้กล่าวคำลาสิกขาท่านก็ยังคงเป็นพระภิกษุ เวลาฆราวาสมาแสดงกิริยาทำกับพระท่านก็ยังคงเหมือนปฏิบัติกับพระทั่วๆไป ถ้าทำดีก็ได้บุญกุศลทำไม่ดีก็ได้วิบากกลับไป

ตอบ  ปัญหาทุกอย่างต้องมองที่ต้นตอ ชาวพุทธยังไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เหมือนคนในสมัยพุทธกาลไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็แล้วแต่ พอเรื่องไปถึงสงฆ์จบด้วยพระธรรมวินัย คนในปัจจุบันถ้าเกิดมีความรู้ความเข้าใจเหมือนในสมัยพุทธกาล เรื่องเกี่ยวกับการคณะสงฆ์คงไม่วุ่นวายเหมือนดังเช่นทุกวันนี้


ถาม   การโจมตีว่าร้ายพระภิกษุสงฆ์และพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นการทำสังฆเภทหรือเปล่า?

ตอบ สังฆเภทจะทำได้ก็ต่อเมื่อโดยพระภิกษุสงฆ์  หมายถึงการทำให้คณะภิกษุสงฆ์แตกกัน แยกออกไปโดยที่ไม่ร่วมสังฆกรรมกันเป็นความเห็นคนละแบบเลย ไม่เกี่ยวกับฆราวาส  ฆราวาสทำได้มากที่สุดคือยุยงให้แตกแยกกันอย่างนี้ไม่ใช่สังฆเภทแต่กรรมหนัก แต่ถ้าคุณมีส่วนในการทำให้สงฆ์แตกแยกกัน คุณก็แบกบาปมหาศาลเหมือนกันละก็เข้าข่ายอนันตริยกรรม

ถาม พระภิกษุทำไม่ดีถ้าอยู่ต่อไปพระศาสนาจะเสื่อมถอย ในฐานะชาวพุทธควรจะทำอย่างไร ?

ตอบ ถ้าเราเจอพระที่ทำผิดพระวินัยเราก็แจ้งเรื่องไปยังพระผู้ปกครองท่าน สรุปเรื่องของสงฆ์ก็ให้สงฆ์ท่านจัดการกันเอง เราเป็นฆราวาสถือแค่ศีล 5 เราอย่าเสี่ยงไปหาบาปยุ่งเรื่องของพระภิกษุสงฆ์ท่านเลย 

ถาม  มุมมองของคนในยุคนี้พระอาจารย์จะทำอย่างไรเพื่อให้ฆราวาสรู้สึกเชื่อมั่นในพระวินัยธร และไม่คลางแคลง ในการวินิจฉัยตัดสินลงโทษพระภิกษุผู้กระทำผิดตามพระวินัยอย่างถูกต้องและเที่ยงธรรมสมกับความผิดของพระภิกษุท่านจะได้รับ

ตอบ เราก็ต้องเชื่อมั่นในมหาเถรสมาคมซึ่งมาจาก 2 สาย คือ ธรรมยุติและมหานิกาย ซึ่งพระมหาเถระท่านอยู่มานาน ท่านได้เรียนรู้และแก้ไขปรับปรุงตัวท่านเองจนกระทั่งได้รับการยอมรับและการยกย่องจากพระด้วยกันว่าท่านเหมาะควรที่จะเข้ามาอยู่ในสถานะรับผิดชอบและดูแลพระภิกษุสงฆ์ให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่บัญญัติไว้ ซึ่งวิธีแบบการวินิจฉัยของพระภิกษุสงฆ์ท่านเน้นเรื่องความสะอาดบริสุทธิ์ของศีลาจารวัตรเป็นหลักตามพระธรรมวินัยที่บัญญัติไว้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้มีการแก้ไขคือการทำผิดพระวินัยของพระภิกษุสงฆ์ร้ายแรงคือ ขั้นอาบัติปาราชิกซึ่งมี 4 เรื่อง  พระภิกษุรูปนั้นไม่ใช่พระ  คือ ปาราชิก (คลิก)
1. เสพกาม เสพสังวาสกับสัตว์เพศเมียหรือผู้หญิง
2.ลักทรัพย์ผู้อื่นมีมูลค่ามากกว่า 5 มาสก  มาสก(คลิก)
3. ฆ่ามนุษย์คือฆ่าคนตาย 
4. อวดอุตตริมนุสธรรมคือธรรมที่ปุถุชนเขาไม่มีกัน  อวดอุตริมนุสธรรม(คลิก) 

แต่กรณีพระภิกษุทำผิดนอกเหนือจาก 4 ข้อนี้ สามารถแก้ไขได้หมดทุกเรื่อง เช่นการสูบบุหรี,การดื่มของเมา

ถาม  ประเด็นที่ถูกกล่าวหาว่า “อวดอุตริมนุสธรรม” กรณีนี้พระท่านถูกมองว่าปาราชิกอย่างนี้ประชาชนคนทั่วไปก็สามารถมองได้ว่าพระภิกษุรูปนี้ไม่ใช่ “พระ”แล้วจะพูดอย่างไรก็ได้หรือ

ตอบ กรณีแค่เราได้ยินว่าพระท่านพูดประหลาดๆก็ไปเหมาว่าท่าน “อวดอุดตริมนุสธรรม” มันก็ไม่ถูก คือเราฆราวาสไม่เข้าใจความหมายของคำนี้ เราก็ต้องส่งเรื่องไปให้พระผู้ปกครองของพระท่านคือพระวินัยธร 

ถาม เมื่อมีเรื่องเกี่ยวกับพระภิกษุุสงฆ์ ทางคณะสงฆ์ผู้ปกครองควรทำเช่นไร

ตอบ  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่เก็บปัญหาอะไรไว้ถ้ามีปัญหาท่านจะรีบแก้ทันที  เช่นกันเมื่อพระภิกษุสงฆ์ท่านเกิดเรื่องขึ้น ่ทางคณะผู้ปกครอง พระวินัยธรท่านรีบดำเนินการวินิจฉัยทันทีท่านไม่ปล่อยผ่านแน่นอน  สำคัญเรื่องพิจารณาคดีเกี่ยวกับการคดีความของพระภิกษุสงฆ์ต้องมีความรอบคอบนิดนึง เพราะอาจมีผลกระทบเนื่องด้วยคณะสงฆ์ทั้งแผ่นดิน

ถาม   บทบาทของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติปฎิบัติเหมาะสมต่อหน้าที่ต่อการคณะพระสงฆ์หรือไม่

ตอบ นโยบายที่ตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนา เพื่อเชื่อมประสานสนับสนุนองค์กรพระพุทธศาสนา ให้สามารถทำภารกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อพุทธจักรและอาณาจักร แต่กลายมาเป็นตัวต้นเรื่องในการที่จะเข้ามาจัดการไม่ตรงกับบทบาทหน้าที่ที่วางไว้แต่แรกซึ่งจาอ่านข่าวที่ปรากฎเห็นอยู่  สำนักงานพุทธก็น่าจะดูบทบาทหน้าที่ของตนเองว่าความจริงแล้วทางอาณาจักรหรือว่าทางรัฐบาลนี่เขาตั้งสำนักงานทั้งนี้ขึ้นมาเพื่ออะไรแล้วก็จงทำหน้าที่นี้ของเรา มันก็จะทำให้คณะสงฆ์ทำงานง่ายและก็เกิดความเข้าใจกันทั้งในแง่ของคณะสงฆ์กับรัฐบาลหรือคณะสงฆ์กับ ฆราวาส ทั้งหลายโดยมีสำนักงานพุทธเป็นเหมือนกระบอกเสียงอย่างนึงก็น่าจะดีถ้าได้แบบนี้

ถาม  ถิ่นทุรกันดารในมุมมองของพระอาจารย์คิดว่าพระภิกษุขับรถได้หรือไม่ได้อย่างไร

ตอบ   พระสัมมาพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติว่าพระขับรถได้
สงฆ์กลัวคำนี้มาก ”โลกวัชชะ” โลกติเตียนก็คือคนทางโลกเขาจะติเตือนได้คือเห็นสภาพที่มันไม่ค่อยเหมาะสมเขาก็จะติเตียน จะเป็นที่ตั้งแห่งความไม่เลื่อมใสและเป็นผลเสียต่อพระพุทธศาสนา  

ฆราวาสได้เห็นหรือได้ยินว่าพระภิกษุสงฆ์บางรูปท่านปฏิบัติตนไม่เหมาะแก่สมณะสารูป ก็ไม่ควรเข้าไปดำเนินการกล่าวจาบจ้วงว่าร้ายท่านด้วยตนเอง ควรส่งเรื่องให้เจ้าปกครองฝ่ายการคณะสงฆ์เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งก็คือพระวินัยธรซึ่งท่านมีหน้าที่ดูแลในเรื่องของพระธรรมวินัยของพระภิกษุสงฆ์ที่บัญญัติไว้เป็นปกติ   เราฆราวาสอยู่เฉยๆปลอดภัยที่สุด ถ้าเราพลาดไปดำเนินการกับพระที่ท่านบริสุทธิ์ท่านไม่ได้ผิดอย่างที่ท่านถูกกล่าวหา  เราจะได้ไม่บาปมหันต์ไม่ต้องเสี่ยงไปตกสู่อเวจีมหานรก มันไม่คุ้มกัน!


กราบอนุโมทนาบุญพระอาจารย์จุมพล ปุญญพโล
จากรายการเรื่องเล่าเข้าใจธรรม




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น